โดยปกติแล้วตามกฎหมายแรงงานในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2562) ในมาตราที่ 23 กำหนดว่า ให้นายจ้างกำหนดเวลาทำงานปกติ (Regular Working Times) ต่อวัน ไม่เกิน 8 ชั่วโมง ไม่รวมเวลาพัก โดยให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างมีเวลาพักระหว่างการทำงานวันหนึ่งไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง หลังทำงานมาไม่ต่ำกว่า 5 ชั่วโมง ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาไหนก็ได้ตามแต่ที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกัน หลายบริษัทจะนิยมกำหนดเวลาทำงานไว้ที่ 9 ชั่วโมง ซึ่งรวมเวลาพัก 1 ชั่วโมงด้วย เช่น กำหนดเวลาทำงานไว้ที่ 09.00 – 18.00 น. ตามเวลาทำงานปกติของคนทั่วไป หรือเวลา 22.00 – 06.00 น. ซึ่งจัดว่าเป็นการทำงานกะกลางคืน
ค่าจ้างสำหรับการทำงานล่วงเวลา
ค่าจ้างสำหรับการทำงานล่วงเวลา คือ ถ้าทำงานมากเกินกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน (ไม่รวมเวลาพัก) ทำงานเกิน 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (ไม่รวมเวลาพัก) หรือทำงานในวันหยุดที่กฎหมายระบุไว้ว่า ต้องมีวันหยุดอย่างน้อย 1 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งสามารถนำไปรวมเป็นวันหยุดสะสมก็ได้ ต้องมีวันหยุดตามประเพณีไม่น้อยกว่า 13 วัน และวันหยุดพักผ่อนประจำปี ไม่ต่ำกว่า 6 วันต่อปี ถ้าทำงานเกินหรือต้องทำงานในวันหยุดเหล่านี้ด้วย นายจ้างจะต้องค่าล่วงเวลาอย่างน้อย 1.5 เท่าของค่าจ้างปกติ
ค่าจ้างสำหรับคนทำงานกลางคืน
ส่วนค่าจ้างสำหรับคนทำงานกะกลางคืน ตามกฎหมายแล้วไม่ได้มีข้อบังคับว่าคนที่ทำงานกะกลางคืน (Night shift) จะได้ค่าจ้างเพิ่ม หรือมากกว่าคนที่ทำงานกะกลางวัน เพราะถือว่ายังมีชั่วโมงงานตามที่กฎหมายกำหนด และนายจ้างกับลูกจ้างทำข้อตกลงร่วมกันและรับรู้กันทั้งสองฝ่าย แต่เพราะว่างานกะกลางคืนไม่ได้เป็นช่วงเวลาทำงานที่คนส่วนใหญ่อยากทำนัก บางคนที่กังวลเรื่องปัญหาสุขภาพก็มักจะไม่อยากทำงานกะกลางคืน เลยทำให้หลายบริษัทต้องหาแรงจูงใจเพื่อให้ได้พนักงานกะดึก ด้วยการเสนอค่ากะ หรือค่าจ้างเพิ่มเติมให้ จากสถิติแล้วมักจะให้เพิ่มขึ้น 1.1 เปอร์เซ็นต์ของค่าจ้างปกติ
สรุปแล้วการจ้างงานในกะกลางคืน (Night shift) แทบจะไม่ได้มีข้อบังคับที่แตกต่างไปจากการจ้างงานให้ช่วงเวลาปกติเลย ค่าจ้างเพิ่มเติมก็จัดว่าเป็นสิ่งดึงดูดให้คนอยากมาทำงานในกะกลางคืนเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น และเป็นเหมือนสินน้ำใจตอบแทนชั่วโมงการทำงานที่ผิดไปจากนาฬิกาชีวิตของคนส่วนใหญ่ อยู่ที่คุณและลูกจ้างของคุณตกลงค่าจ้างและเวลาการทำงานที่พอใจกันทั้ง 2 ฝ่ายโดยที่ยังอยู่ในขอบเขตของกฎหมายอยู่ก็เพียงพอแล้ว
ที่มา JobsDB