โควิดก็ต้องหนี งานก็ต้องทำ Work from home อย่างไรให้เวิร์กโควิดก็ต้องหนี งานก็ต้องทำ ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ยังคงไม่น่าไว้วางใจ แถมยังดูมีแนวโน้มว่าน่าจะต้องเฝ้าระวังกันไปสักพักใหญ่ๆ สถานศึกษาต่างๆ เริ่มทยอยปิด ไม่เว้นแม้แต่ออฟฟิศต่างๆ ที่เริ่มให้พนักงานทำงานที่บ้าน หรือ Work from home กันแล้ว แล้วจะทำอย่างไรให้เวิร์กในช่วงโควิด-19 ระบาดอยู่ เพื่อให้เราทำงานได้อย่างราบรื่น ไม่สะดุด ให้ได้ผลลัพธ์ที่ไม่ต่างจากการทำงานในออฟฟิศ
สำรวจก่อนว่าควรทำงานที่บ้านได้หรือยังก่อนอื่นต้องดูสถานการณ์ก่อนว่าการระบาดตอนนี้เป็นอย่างไร และสถานที่ทำงานตั้งอยู่ในย่านไหน ถ้าสถานการณ์ของโรคเริ่มรุนแรงขึ้น เช่น มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น หรือเริ่มมีการระบาดภายในประเทศ และสถานที่ตั้งออฟฟิศก็ตั้งอยู่ใจกลางเมืองที่มีประชากรมากมาย พนักงานต้องเบียดเสียดบนรถสาธารณะ เช่น รถไฟฟ้า เพื่อเดินทางไปทำงาน แบบนี้ถ้าสามารถทำงานที่บ้านได้ ก็น่าจะปลอดภัยกว่า และลดความเสี่ยงที่จะทำให้พนักงานติดเชื้อลง
ตกลงกันให้ดีว่าเราจะทำงานที่บ้านกันแบบไหน ในช่วงที่ต่างคนต่างทำงานที่บ้าน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน การทำงานคนละที่ทำให้การพูดคุยกับทีมไม่สะดวกเท่าตอนที่อยู่ในออฟฟิศด้วยกัน ดังนั้นการหาตัวช่วยให้ติดต่อสื่อสารกันง่ายขึ้นจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก โดยอาจลองใช้โปรแกรมแชทที่มีในโทรศัพท์มือถือ หรือ Windows 10 มาช่วยในการคุยงานแทนกันไปก่อนได้ เช่น Facebook Messenger, LINE, Hangouts (อยู่ใน G suite), Skype, Microsoft Teams ซึ่งโปรแกรมเหล่านี้นอกจากจะโทรคุยแบบ 1 ต่อ 1 แล้ว ยังสามารถประชุมแบบกลุ่มได้ด้วย ซึ่งในกรณีของ Facebook Messenger, LINE และ Hangouts นั้น สามารถตั้งกรุ๊ปคอลล์กันได้หลายสายเลยทีเดียว
ในสถานการณ์เช่นนี้ขอให้ทำงานกันที่บ้านจริงๆอย่างที่ทราบกันอยู่ว่านโยบาย Work from home ที่ออกมาในช่วงนี้เป็นไปเพื่อความปลอดภัยในสุขภาพของพนักงาน มันจะต่างกับช่วงเวลาปกติที่เราสามารถนั่งชิลที่ร้านกาแฟไปทำงานไปได้ เพราะฉะนั้นช่วงนี้ก็ขอให้ทำงานที่บ้านกันจริงๆ เพราะถ้าแบกแล็ปท็อปไปทำงานที่ร้านกาแฟหรือที่ห้าง มันอาจจะเสี่ยงติดเชื้อมากกว่าไปทำงานที่ออฟฟิศเสียอีก
ทำความเข้าใจให้ตรงกันว่าคือวันทำงานปกติ ไม่ใช่วันหยุดของออฟฟิศ อย่าลืมว่าเรายังเป็นพนักงานบริษัทอยุ่ และห้ามลืมเด็ดขาดว่ามันคือวันทำงานปกติ เพียงแค่เปลี่ยนสถานที่มาทำงานที่บ้านแทนเท่านั้น โดยกำหนดเวลาการทำงานที่แน่นอน อาจจะยึดตามเวลาทำการของบริษัท ซึ่งใน่วงเวลาทำการที่ตกลงกัน เราจะต้องแสดงความเป็นมืออาชีพ ทีมหรือเจ้านายต้องสามารถติดต่อได้ตลอดเวลา working hour และต้องมีการอัปเดตงานหรือพูดคุยกันในทีมทุกเช้าและเย็นผ่านการประชุมสายหรือวิดีโอคอลภายในทีม เพื่อที่งานจะได้ flow ต่อไปไดอย่างไม่สะดุด
พยายามอัปเดตงานบนแพลตฟอร์มออนไลน์การทำงานออนไลน์นอกจากจะสะดวกในแง่ของการจัดเก็บเอกสารแล้ว ยังสะดวกที่จะให้ทีมสามารถเข้าถึงงานที่ทำและสามารถอัปเดตงานกันได้แบบ real time ซึ่งปัจจุบันก็มีโปรแกรมสำหรับการจัดการเอกสารบนแพลตฟอร์มออนไลน์มากมาย เช่น Google Drive, Trello, Asana เป็นต้น ซึ่งการจัดการผ่านออนไลน์จะทำให้งานได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย
ถึงแม้ว่าการทำงานที่บ้านจะดูน่ากังวลใจเพราะเราจะห่างไกลกับทีมงาน และดูพูดคุยกันไม่สะดวก แต่ในแง่ของประสิทธิภาพการทำงานนั้แทบไม่ต่างกันเลย เคยมีงานวิจัยของบริษัทชื่อ FlexJobs สำรวจพนักงาน 7,000 คนเกี่ยวกับการทำงานโดยไม่ต้องเข้าออฟฟิศพบว่า 65% รู้สึกว่าตัวเองมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะไม่ต้องถูกเพื่อนร่วมงานคอยขัดจังหวะเหมือนสมัยทำงานในออฟฟิศ อีกทั้งยังไม่ต้องกังวลเรื่องปัญหาการเมืองในที่ทำงาน และไม่เครียดจากปัญหาจราจรด้วย อย่างไรก็ตามเมื่อบริษัทให้เราทำงานที่บ้าน เราก็ต้องมีความรับผิดชอบในหน้าที่และมีความเป็นมืออาชีพด้วย
แหล่งที่มา :
www.moneyguru.co.th/lifestyle/articles/WorkFromHome/ProsoftHRMIโปรแกรมบริหารทรัพยากรมนุษย์โปรแกรมเงินเดือน