HR Tech หรือ HR Technology คือการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการทำงานของ HR ทำให้กระบวนการทำงานทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดกลายเป็นดิจิทัล ตั้งแต่การเปิดรับสมัครงาน, ขั้นตอนการคัดเลือกบุคลากร, การเชิญสัมภาษณ์ ไปจนถึง การจัดทำเอกสารตามขั้นตอนต่างๆ เพื่อลดขั้นตอนสำหรับพนักงานใหม่
HR Tech ไม่ได้มีประโยชน์แค่สำหรับพนักงานใหม่เท่านั้น เพราะในสถานการณ์ที่ใครๆ ก็ยังทำงานแบบ WFH (Work From Home) จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ประโยชน์ของ HR Tech ยังครอบคลุมไปทั่วทั้งองค์กรสำหรับพนักงานทุกคน รวมถึงเพิ่มความสะดวกให้กับนายจ้างด้วย
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ มีหลายๆ แพลตฟอร์มที่สร้างขึ้นมาเพื่ออัพเกรด productivity ภายในองค์กร ด้วยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี และเพื่อให้ HR ทำงานได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะเรื่องที่ต้องใช้ความละเอียด และรายละเอียดค่อนข้างเยอะ อย่างเรื่องสวัสดิการของพนักงาน หรือ ประกันสุขภาพ ฯลฯ
ปัจจุบันมีหลายแพลตฟอร์มที่เพิ่มความสะดวกให้กับพนักงาน อย่างเช่น แพลตฟอร์มระบบลางานออนไลน์ Employee Self-Service (ESS) ที่ช่วยขออนุมัติการลางาน (ลาป่วย, ลากิจ, ลาพักร้อน) จนไปถึงการ check-in และ check-out งานตามเวลาเหมือนว่าเรานั่งทำงานอยู่ที่ออฟฟิศ และยังมีแพลตฟอร์มที่รองรับสำหรับการสัมภาษณ์งานระยะไกลด้วย ซึ่งในอนาคตแพลตฟอร์มในลักษณะนี้ คาดว่าจะมีมากขึ้นตามความต้องการที่สูงขึ้น
ไม่ว่าจะยุคไหน หรือ generation ใด ประกันสุขภาพยังคงเป็นที่ต้องการของพนักงานมากที่สุด และสำหรับยุคของ HR Tech ประกันสุขภาพเองก็มีการ transform ให้ตอบโจทย์การพบแพยท์แบบ real time ในแบบ anywhere, anytime โดยเฉพาะในยุคของเทรนด์ Work From Home ประกันสุขภาพจึงควรมาพร้อมกับการพบแพทย์ผ่านแอปพลิเคชัน หรือศัพท์ที่เรียกกันทั่วไปว่า Telemedicine ที่กำลังเป็นที่นิยมทั้งในประเทศและต่างประเทศ และกำลังจะกลายเป็นการพบแพทย์รูปแบบใหม่ที่ทุกคนให้ความสนใจ
อย่างในไทยเองก็มีการพบแพทย์แบบ Real time กันแล้ว เช่น แอปพลิเคชัน vHealth โดย เอ็ทน่า ประกันสุขภาพ (Aetna) ซึ่งเป็นบริการ Telemedicine รายแรกๆ ในไทยที่พัฒนาระบบนี้ขึ้นมาในรูปแบบของแอปพลิเคชัน ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ใครที่มีประกันสุขภาพของเอ็ทน่า จะสามารถพบแพทย์ผ่านแอปพลิเคชัน ผู้ป่วยสามารถใช้แอปพลิเคชัน พบแพทย์จากสถานที่ใดก็ได้* เสมือนพบแพทย์จริงๆ เมื่อพบว่าป่วย แพทย์จะจ่ายยา และมีบริการส่งยาให้ภายใน 3-4 ชั่วโมง ตามสถานที่ที่ผู้ป่วยแจ้งไว้* ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ที่ทำงานรวมถึงครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงและควบคุมสูงสุด บริการลักษณะนี้ จะช่วยประหยัดเวลาการเดินทางไปโรงพยาบาล ไม่ต้องต่อคิวเป็นเวลานานๆ ลดความเสี่ยงในการออกไปพบเจอเชื้อโรคข้างนอก เพิ่มความสะดวกให้กับพนักงาน และเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานได้อย่างไม่ติดขัด
*บริการปรึกษาแพทย์ผ่านวีเฮลท์สำหรับแผนประกันสุขภาพอัลตร้า แคร์, แพลทินัม, บียอนด์ เพอร์ซันนัลแคร์, เพอร์ซันนัลแคร์, โอปอล, เพิร์ล, ยูไอซี, เอ็มพลอยยี พลัส / วีเฮลท์ให้บริการเวลา 08.00 – 20.00 น. จันทร์ – ศุกร์ (ยกว้นวันหยุดราชการและวันหยุดนักขัตฤกษ์) บริการส่งยาในกรุงเทพและหลายจังหวัดในประเทศไทย
การพบแพทย์ยุคใหม่อย่าง vHealth ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่เข้ากับยุค HR Tech ซึ่งมีเป้าหมายที่เน้นความสะดวกสบายเป็นพื้นฐานเหมือนกับเทคโนโลยีอื่นๆ ที่สร้างขึ้นมาเพื่อ serve กับความต้องการที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค อย่าง vHealth ที่นอกจากเราจะโทรปรึกษาหรือพูดคุยกับแพทย์ทาง Video Call ได้แล้ว ยังสามารถนัดหมายกับแพทย์ครั้งต่อไปได้เลยโดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง ที่สำคัญผู้ใช้บริการสามารถรอรับใบสั่งยา, ใบรับรองแพทย์ หรือ ใบส่งตัว ได้เลยจากที่บ้าน เพราะทาง vHeath จะส่งเอกสารโดยตรงเข้าไปยังแอปฯ บนสมาร์ทโฟนของเราเอง
และอย่างที่พูดไปว่า ยุคนี้เป็นยุคดิจิทัลและก็เป็นยุคของกลุ่ม Gen ใหม่ๆ อย่างกลุ่มมิลเลนเนียลส์ (millennials) หรือคนที่อายุระหว่าง 21-37 ปี และ Gen Z (อายุ 10-24 ปี) ที่การใช้ชีวิตอยู่กับมือถือ ติดอยู่กับหน้าจอส่วนใหญ่ ดังนั้น วิถีชีวิตหรือความเคลื่อนไหวต่างๆ แม้แต่การสมัครงาน หรือการสัมภาษณ์งาน ก็ต้องอิงกับพฤติกรรมคนปัจจุบันด้วย
HR Tech คือเทรนด์ที่เกิดขึ้นไปทั่วโลกไม่ใช่แค่ในไทย อย่างที่ Rhonda Marcucci รองประธานฝ่าย HR และที่ปรึกษาด้านสิทธิประโยชน์เทคโนโลยีจาก Gallagher ที่พูดว่า สถานการณ์การระบาดทำให้หลายๆ องค์กรต้องปรับวิธีการรับสมัครคน จัดสรรคน และใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์มากที่สุดสำหรับสิทธิประโยชน์ของพนักงาน
เหตุผลหลักๆ ที่ทำให้มีกระแส HR Tech เกิดขึ้น และการใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงนี้ ก็คือ
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงบางส่วนที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของการทำงานของ HR ซึ่งไม่ว่าจะเครื่องมือ หรือเทคโนโลยีไหนก็ตาม ล้วนมีประโยชน์และให้คุณค่ากับองค์กรทั้งสิ้น เพียงแต่จุดเริ่มต้นแรกที่จำเป็นต้องปรับกันก่อนก็คือ ความเข้าใจว่า HR Tech มีความสำคัญ และจำเป็นต้องปรับก่อนจะถูกดิจิทัล disrupt ไปจนหมด ขณะที่องค์กรควรปรับทิศทางการทำงานโฟกัสไปที่ work-life balance และต้องฉลาดใช้เทคโนโลยีที่ช่วยเราได้ เพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพในระยะยาว
บทความโดย : https://www.marketingoops.com