Multitask ต้องใช้อย่างระวัง

Multitask ต้องใช้อย่างระวัง



ในปัจจุบันนี้ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านน่าจะเคยได้ยินคำว่า Multitask กันมากขึ้น ซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากต้นทุนของการบริหารพนักงานที่สูงขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของค่าจ้างเงินเดือน สิ่งที่นายจ้างมักจะทำก็คือ เวลาที่มีพนักงานลาออกไป ก็จะไม่รับคนใหม่เข้ามาทดแทน และจะมอบหมายงานเดิมของพนักงานที่ออกไปนั้น ให้กับพนักงานอื่นที่ทำงานในหน่วยงานเดียวกัน ซึ่งก็ทำให้พนักงานหนึ่งคนอาจจะต้องรับผิดชอบงานที่มากขึ้นทั้งในด้านปริมาณงาน และลักษณะของงาน

และแนวโน้มในปัจจุบันก็เริ่มทำกันแบบนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เราลองมาดูข้อดี และข้อเสียของการทำงานแบบ Multitask กันหน่อยนะครับ จะได้นำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ข้อดี

• นายจ้างประหยัดเรื่องของค่าจ้างค่าตอบแทน ก็คือ ไม่ต้องจ้างพนักงานเพื่อเข้ามาทดแทนตำแหน่งเดิมที่ออกไป หรือไม่ก็ไม่ต้องเพิ่มตำแหน่งงานใหม่ และรับพนักงานใหม่ ซึ่งทำให้เราไม่ต้องจ่ายเงินเดือนให้กับพนักงานเพิ่มขึ้นอีก นายจ้างอาจจะมีการปรับเพิ่มเงินเดือนให้กับพนักงานเดิมที่ได้รับมอบหมายงานเพิ่มขึ้นได้ แต่อย่างไรก็ดี ต้นทุนพนักงานในระยะยาวย่อมจะลดลง เมื่อเทียบกับการเพิ่มจำนวนพนักงาน ก็เลยทำให้นายจ้างชอบวิธีนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเห็นผลดีในระยะยาว

• พนักงานรู้สึกถึงงานที่ไม่จำเจ จากที่บางองค์กรได้บริหารงานในลักษณะนี้มากขึ้น ก็เลยไปสอบถามกับพนักงานที่ได้รับมอบหมายงานที่มากขึ้นว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง คำตอบที่ได้ส่วนใหญ่ก็คือ เห็นใจนายจ้าง ก็เลยแบ่งๆ งานกันไปทำ โดยไม่ต้องรับคนใหม่ และพนักงานเองก็ได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย ซึ่งก็เป็นการตอบแทนงานที่เพิ่มขึ้นในอีกลักษณะหนึ่ง พนักงานบางคนก็รู้สึกว่า งานเริ่มมีความท้าทายมากขึ้น และต้องบริหารเวลาในการทำงานให้ดีขึ้น เพื่อให้งานหลายๆ ด้าน ออกมาสำเร็จตามเป้าหมาย

• พนักงานมีทักษะรอบด้านมากขึ้น ข้อดีอีกอย่างหนึ่งก็คือ การที่พนักงานต้องทำงาน และรับผิดชอบงานหลายๆ หน้าที่มากขึ้น ก็จะทำให้พนักงานมีทักษะในการทำงาน ทั้งในด้านการบริหารงาน และทางด้านเทคนิคที่ลึกขึ้น กว้างขึ้นไปโดยปริยาย ซึ่งบางองค์กรถือว่านี่เป็นการพัฒนาพนักงานทางหนึ่งเช่นกัน เพราะพนักงานจะเก่งขึ้น มองรอบด้านได้มากขึ้นแทนที่จะมองงานแค่เพียงด้านเดียว ก็จะเข้าใจงานที่แง่มุมต่างๆ มากขึ้น ซึ่งถ้าพนักงานเก่งขึ้น ก็จะส่งผลต่อผลงานขององค์กรที่ดีขึ้นด้วยเช่นกัน

ข้อเสีย

• พนักงานเหนื่อยล้า ข้อเสียประเด็นแรกที่ได้เจอมาในองค์กรที่เน้นเรื่องของ Multitask ก็คือ พนักงานทำงานไปสักพักจะเริ่มล้า เพราะเวลา 8 ชั่วโมง ซึ่งเคยทำงานแค่ของตนเองเดิม กลับต้องรับผิดชอบงานที่มากขึ้นไปอีก ซึ่งก็ทำให้พนักงานเกิดความเหนื่อยล้าในการทำงานแต่ละวันมากขึ้น ซึ่งก็จะส่งผลต่อความเครียดมากขึ้นด้วย ผมเองเคยได้ยินพนักงานบางคนบ่นให้ฟังว่า ไม่คุ้มเลยกับที่ได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้น เพราะจบงานในแต่ละวันด้วยความเหนื่อยอ่อน

• ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ข้อนี้เป็นผลต่อเนื่องมากจากข้อแรกด้วยเช่นกัน กล่าวคือ เมื่อพนักงานเหนื่อยและล้าในการทำงานที่หลากหลายมากขึ้น ก็จะทำให้ผลงาน ทั้งในด้านปริมาณงาน และคุณภาพงานนั้น ขาดประสิทธิภาพและประสิทธิผล เพราะต้องแบ่งเวลาและบริหารเวลาในการทำงานมากขึ้นกว่าเดิม ใครที่บริหารเวลาไม่เป็นก็จะเป็นผลทำให้ผลงานโดยภาพรวมแล้วแย่ลง

• พนักงานสมาธิสั้นลง ประเด็นนี้น่าจะเป็นผลที่ตามมาจากการที่ต้องทำงานหลายอย่าง ก็เลยทำนี่นิด โน่นหน่อย จับงานนี้ได้ไม่นาน ก็เปลี่ยนไปทำงานนั้นหน่อย จากนั้นก็กลับมาทำงานนี้ใหม่ ไม่นานก็เปลี่ยนอีก สุดท้ายก็เลยไม่เสร็จสักงาน ถ้าพนักงานไม่รู้จักที่จะ Focus ในสิ่งที่ทำให้เสร็จเป็นเรื่องๆ ไป ก็จะเกิดปัญหานี้ตามมา จากนั้นก็จะกลายเป็นอุปนิสัยของพนักงานคนนั้นไปโดยปริยาย พนักงานเองก็จะรู้สึกว่าตนเองทำงานเยอะมาก ในหนึ่งนาทีทำตั้งหลายอย่าง แต่เอาเข้าจริงๆ ไม่เสร็จสักอย่าง

สำหรับองค์กรที่ต้องการสร้างวิธีการทำงานแบบ Multitask ให้กับพนักงาน สิ่งที่ต้องระวังก็คือ ข้อเสียที่กล่าวมาข้างต้น มากไปก็ไม่ดี น้อยไปก็ไม่ดี สิ่งที่ต้องทำก็คือเดินสายกลางครับ ยิ่งในองค์กรที่เน้นเรื่องของการบริหารทรัพยากรบุคคลเป็นหลักแล้วนั้น สิ่งที่พนักงานต้องการมากที่สุดก็คือ Work-Life Balance ครับ



บทความโดย : คุณประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร
ประกาศบทความโดย : www.prosofthrmi.com
 3111
ผู้เข้าชม

บทความที่เกี่ยวข้อง

การทำงาน เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของชีวิต ซึ่งรูปแบบของการจ้างงานไม่ได้มีเพียงงานประจำและรอเวลาเกษียณอายุเพียงเท่านั้น แต่ยังมีลักษณะการจ้างงานอีกหลายประเภท ที่สามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่แตกต่างกันออกไปได้ ในบทความนี้จะมาสรุปสั้น ๆ ให้เข้าใจได้ง่าย ๆ ว่าการจ้างงานมีกี่ประเภท และแต่ละประเภทมีข้อดีแตกต่างกันอย่างไร
การพาพนักงานไป Outing ถือเป็นหนึ่งในสวัสดิการหลัก ๆ ที่หลายองค์กรมี เพื่อดึงดูดพนักงานทั้งภายในและภายนอกให้อยากมาร่วมงานกันด้วย โดยวัตถุประสงค์หลักของการไป Outing ก็เพื่อเสริมสร้างความสามัคคี และเพื่อตอบแทนพนักงาน ให้ได้ผ่อนคลายจากการทำงานประจำวันอันตึงเครียดมายาวนาน โดยที่บริษัทจะดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายไว้ทั้งหมด
ระบบลงเวลาเข้า-ออกของพนักงาน คือ ระบบที่ช่วยในการบันทึกเวลาการทำงานของพนักงาน ผ่านอุปกรณ์ดิจิทัลต่างๆ ตั้งแต่ เครื่องสแกนลายนิ้วมือ (Finger Scanner), สมาร์ทโฟน (Smart Phone), แท็บเล็ต (Tablet), ตลอดจนอุปกรณ์ต่างๆ ที่สามารถยืนยันตัวตนผู้ใช้งานได้อย่างชัดเจน ปลอดภัย และเชื่อมต่อสู่ระบบข้อมูลกลางอย่างระบบคลาวด์ (Cloud System) ได้ โดยจะระบุเวลาที่พนักงานเข้ามาทำงานและออกจากงานในแต่ละวัน ดูสถิติ ขาด ลา มาสาย ระบบนี้มีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการเวลาและการทำงานของพนักงาน ช่วยให้ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) และฝ่ายบริหารสามารถติดตามการทำงานของพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงใช้ข้อมูลที่บันทึกเพื่อคำนวณเงินเดือน สวัสดิการ ค่าล่วงเวลา และการจัดทำรายงานการเข้างานได้อย่างแม่นยำ ตอบโจทย์การทำงานในธุรกิจยุคใหม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
มนุษย์เงินเดือนบางคนอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ตัวเองมีสิทธิที่จะเรียกร้อง ค่าชดเชยจากนายจ้าง อันนี้เป็นสิทธิ์ของเรานะ พี่ทุยบอกเลยว่า เงินค่าชดเชย เป็นสิ่งที่นายจ้าง ต้องจ่าย ให้กับพนักงานหรือลูกจ้าง เพื่อช่วยเหลือในกรณีให้ออกจากงาน ซึ่งไม่ได้มาจากทำความผิดของพนักงานหรือลูกจ้าง แต่อาจจะด้วยเหตุผลบางอย่างที่จำเป็นต้องลดจำนวนพนักงานลง
ในแต่ละเดือนที่เราจ่ายเงินสมทบประกันสังคมนั้น ก็จะมีเงินส่วนหนึ่งที่จัดเก็บเข้าเป็นเงินสะสมประกันสังคม ซึ่งเงินส่วนนี้เองเราสามารถเช็คเงินสะสมประกันสังคมได้เองผ่านช่องทางออนไลน์ด้วย มาดูกันครับว่าทำยังไง แล้วยอดเงินประกันสังคมนี้ทำอะไรได้บ้าง

Employee Referral Program หรือ โครงการแนะนำพนักงาน คือระบบที่องค์กรใช้เพื่อกระตุ้นให้พนักงานที่ทำงานอยู่แนะนำบุคคลภายนอกที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมเข้ามาทำงานในตำแหน่งที่เปิดรับ โดยทั่วไปโครงการนี้มักมีการมอบรางวัลหรือโบนัสให้กับพนักงานที่แนะนำคนที่ถูกคัดเลือกและรับเข้าทำงานในองค์กรสำเร็จ โครงการแนะนำพนักงานนี้มีข้อดีหลายประการ เช่น การลดต้นทุนในการจ้างงาน เพิ่มคุณภาพของผู้สมัคร และสร้างความผูกพันให้กับพนักงานในองค์กร
สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์