• หน้าแรก

  • News

  • HR Articles

  • กองทุนสํารองเลี้ยงชีพ อยู่มานานอย่าลืมคำนวณให้ดีก่อนลาออก

กองทุนสํารองเลี้ยงชีพ อยู่มานานอย่าลืมคำนวณให้ดีก่อนลาออก

  • หน้าแรก

  • News

  • HR Articles

  • กองทุนสํารองเลี้ยงชีพ อยู่มานานอย่าลืมคำนวณให้ดีก่อนลาออก

กองทุนสํารองเลี้ยงชีพ อยู่มานานอย่าลืมคำนวณให้ดีก่อนลาออก


“ลาออก” เป็นหนึ่งสิ่งที่เชื่อได้ว่าต้องเคยเกิดขึ้นในชีวิตของคนแทบทุกคน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลที่ว่าอยากเปลี่ยนงาน หรือจะเกษียณก็ตาม นอกจากการวางแผนหางานใหม่ การทำเรื่องลาออกกับบริษัท จัดการเอกสารต่าง ๆ การวางแผนการเงินก็เป็นอีกเรื่องสำคัญที่หลายคนให้ความสำคัญ แต่อาจจะมีเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ที่หลายคนมองข้ามในช่วงลาออก นั่นก็คือการจัดการเงินที่อยู่ใน “กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ”

กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือ Provident Fund

คือ กองทุนที่นายจ้างและลูกจ้างร่วมกันจัดตั้งขึ้นด้วยความสมัครไจ เอาไว้เป็นเงินออมให้ลูกจ่ายได้ใช้จ่ายตอนเกษียณอายุ ออกจากงาน หรือทุพพลภาพ หรือเป็นหลักประกันให้แก่ครอบครัวหากลูกจ้างเสียชีวิต ซึ่งเงินจำนวนนี้จะถูกหักออกจากเงินเดือนของลูกจ้างทุกเดือน เรียกว่า “เงินสะสม” และนายจ้างมักจะช่วยสะสมเงินอีกครึ่งหนึ่งเข้าไป เรียกว่า “เงินสมทบ”

จากนั้นก็จะนำเงินจำนวนนี้ไปลงทุนในกองทุนหรือหลักทรัพย์ต่าง ๆ ให้มีผลกำไรงอกเงยต่อไป ซึ่งหากลูกจ้างตัดสินใจลาออกแล้ว เงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพก็เป็นเงินอีกก้อนหนึ่งที่ลูกจ้างต้องวางแผนจัดการด้วย แนะนำให้อ่านและทำความเข้าใจกับเงื่อนไขและข้อบังคับของกองทุนที่บริษัทใช้ลงทุนก่อนเพื่อให้สามารถตัดสินใจได้ว่าจะวางแผนจัดการกับเงินก้อนนี้อย่างไรดี

โดยที่เงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะแบ่งออกเป็นหลัก ๆ 2 ประเภท คือ

  1. เงินสะสมและผลประโยชน์จากเงินสะสม เป็นเงินส่วนที่ลูกจ้างหรือสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจ่ายสะสมเข้ามาที่กองทุนทุกเดือน ซึ่งถ้าความเป็นสมาชิกกองทุนสิ้นสุดลง ลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินก้อนนี้รวมไปถึงดอกเบี้ยหรือผลประโยชน์ที่ได้จากเงินกองนี้เต็มจำนวนไม่ว่าจะอยู่ในกรณีใด ๆ
  2. เงินสมทบและผลประโยชน์จากเงินสมทบ เป็นเงินส่วนที่นายจ้างช่วยจ่ายสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้กับลูกจ้าง ซึ่งถ้าเกิดลูกจ้างลาออกหรือความเป็นสมาชิกกองทุนสิ้นสุดลง ลูกจ้างอาจจะได้เงินส่วนนี้คืนไม่เต็มจำนวน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและข้อบังคับของกองทุน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วบริษัทจะกำหนดคืนเงินส่วนนี้ให้กับลูกจ้างตามเงื่อนไขอายุงานที่ลูกจ้างทำงานกับบริษัท เพื่อเป็นการรักษาพนักงานให้ทำงานกับบริษัทในระยะยาว

มาดูตัวอย่างการคืนเงินสมทบและผลประโยชน์จากเงินกองนี้กัน

อายุงานน้อยกว่า 1 ปี มีสิทธิได้รับเงินสมทบ 10%

อายุงานตั้งแต่ 1 ขึ้นไป แต่ไม่ถึง 2 ปี มีสิทธิได้รับเงินสมทบ 20%

อายุงานตั้งแต่ 2 ขึ้นไป แต่ไม่ถึง 3 ปี มีสิทธิได้รับเงินสมทบ 40%

อายุงานตั้งแต่ 3 ขึ้นไป แต่ไม่ถึง 4 ปี มีสิทธิได้รับเงินสมทบ 50%

อายุงานตั้งแต่ 4 ขึ้นไป แต่ไม่ถึง 5 ปี มีสิทธิได้รับเงินสมทบ 80%

อายุงานมากกว่า 5 ปี ขึ้นไป มีสิทธิได้รับเงินสมทบ 100%

หากมีการนำเงินออกจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะต้องมีการเสียภาษีจากเงินที่เป็นผลประโยชน์ที่ได้จากกองทุน แต่ถ้าลูกจ้างมีอายุครบ 55 ปี จะถือว่า “เกษียณอายุ” หากนำเงินออกจากกองทุนหลังจากช่วงอายุนี้จะได้รับการยกเว้นภาษีจากเงินทั้งจำนวน

ถ้าลาออกแล้วจะทำอย่างไรกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพดี

เมื่อศึกษาเงื่อนไขและข้อบังคับของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ตัวเองส่งอยู่ดีแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับเงินส่วนนี้ดี ซึ่งมีอยู่ 3 ทางเลือกให้ได้ลองพิจารณา

  1. คงเงินไว้ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเดิม

แม้ว่าตัวคุณจะลาออกจากบริษัทแล้ว แต่คุณก็ยังสามารถเลือกที่จะเก็บเงินของคุณไว้ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเดิมได้ถ้าคุณยังถูกใจกับนโยบายของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัทเดิม แต่คุณจะต้องเสียค่าธรรมเนียมการคงเงินไว้จำนวน 500 บาทต่อปี

  1. โอนย้ายไปยังกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของที่ทำงานใหม่

หากลองศึกษากองทุนสำรองเลี้ยงชีพของที่ทำงานใหม่แล้วเกิดถูกใจนโยบาย ก็สามารถเลือกที่จะย้ายเงินจำนวนนี้เข้าไปในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของที่ทำงานใหม่ได้เลย วิธีจะทำให้คุณไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมคงเงินรายปี และก็เริ่มสะสมเงินและได้รับผลประโยชน์งอกเงิยจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของที่ทำงานใหม่ต่อไปได้อย่างสบาย ๆ

  1. โอนย้ายไปยังกองทุนรวม RMF for PVD

วิธีนี้เหมาะมาก ๆ สำหรับคนที่ตัดสินใจลาออกจากงานแล้วมาทำธุรกิจส่วนตัว หรือเข้าทำงานที่ใหม่ที่ไม่มี Provident Fund เพราะไม่ต้องเสียภาษีตอนนำเงินออกจากกองทุน ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมคงเงินรายปี เพียงแต่แค่ทำเรื่องโอนย้ายเงินเข้ากองทุน RMF (Retirement Mutual Fund) หรือ “กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ” ที่คุณสนใจจะลงทุนอยู่

แต่ข้อควรระวังก็คือ ไม่ใช่ทุก บลจ. ที่จะเปิดรับการโอนย้ายเงินเข้าไปได้ คุณความศึกษาเงื่อนไขและข้อบังคับของกองทุน RMF ที่คุณสนใจก่อนทำเรื่องโอนย้ายเงินเข้าไป

เป้าหมายหลักของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพคือให้พนักงานบริษัทหรือลูกจ้างได้มีหลักประกันชีวิต มีเงินใช้ในยามแก่เฒ่า และสนับสนุนให้คนวางแผนการเงินและออมเงินในระยะยาว ดังนั้นคุณจึงควรที่จะศึกษาเงื่อนไข ข้อบังคับและนโยบายของกองทุนให้ดี ดูผลการดำเนินงานของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นประจำทุกปี เพื่อจะได้วางแผนการเงินได้อย่างถูกต้องและเข้ากับไลฟ์สไตล์ชีวิตของคุณเอง

เมื่อถึงเวลาที่ต้อง “ลาออกครั้งสุดท้าย” อย่างน้อย ๆ คุณก็จะได้มีเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่สะสมมาไปใช้จ่ายหรือลงทุนเลี้ยงชีวิตของคุณต่อไป

สามารถอ่านบทความน่าสนใจอื่นๆได้ ที่นี่ คลิก!!



ที่มา : LINK

 846
ผู้เข้าชม

บทความที่เกี่ยวข้อง

การสรรหาบุคลากร (Recruitment) กล่าวง่ายๆ หมายถึง กระบวนการในการค้นหาตลอดจนคัดเลือกบุคคลที่มีความรู้ความสามารถและมีทักษะที่เหมาะสมเพื่อเข้ามาปฎิบัติงานในตำแหน่งงานตามที่องค์กรต้องการ กระบวนการนี้จะเริ่มต้นตั้งแต่การวางแผนการคัดเลือก การสื่อสารให้เกิดแรงจูงใจกับผู้สมัครเป้าหมายที่ต้องการ และจะสิ้นสุดกระบวนการเมื่อองค์กรนั้นรับบุคคลนั้นๆ เข้าเป็นพนักงานแล้ว
กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ชี้แจงกรณีที่ กยศ. ได้แจ้งนายจ้างให้หักเงินเดือนเพื่อชำระเงินกู้ยืมคืนจากผู้กู้ยืมที่ค้างชำระหนี้ โดยให้หักเพิ่มรายละ 3,000 บาท สำหรับผู้กู้ยืมที่มีสถานะ ค้างชำระ โดยไม่รวมผู้ที่ได้ทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้กับ กยศ. แล้ว มีผลตั้งแต่เดือนเมษายน 2568 เป็นต้นไป
การมอบสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี เพื่อสนับสนุนคนไทยที่มีศักยภาพที่ทำงานในต่างประเทศให้กลับเข้ามาในงานในประเทศไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ
JD (Job Description) ภาษาไทยเรียกว่า ขอบเขตหน้าที่และความรับผิดชอบงานตำแหน่งงาน หรือ คำบรรยายลักษณะงาน / ใบพรรณนาหน้าที่งาน ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการบรรยายลักษณะหน้าที่ความรับผิดชอบของตำแหน่งงาน รวมถึงคุณสมบัติของคนที่ทำงานในตำแหน่งหน้าที่ที่กำหนด

การเทรนนิ่งพนักงานมี 2 ทางเลือกหลัก หากองค์กรไม่เลือก On the Job Training หรือการฝึกพนักงานให้เรียนรู้จากการทำงานจริง ก็สามารถเลือก Off the Job Training ซึ่งอาจเป็นการจัดคอร์สนอกเวลาหรือจ้าง Outsource มาดูแลการฝึกทักษะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาษา, Soft Skills หรือ Hard Skills

พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 กำหนดให้มีกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างในกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เพื่อสงเคราะห์ลูกจ้าง กรณีออกจากงาน หรือตาย หรือในกรณีอื่นที่กำหนดโดยคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง มีผลเริ่มใช้วันที่ 1 ตุลาคม 2568

สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์