Work Life Balance เพื่อความสมดุลในชีวิต

Work Life Balance เพื่อความสมดุลในชีวิต


เชื่อว่าเป้าหมายสูงสุดของใครหลายคน คือการประสบความสำเร็จในชีวิตไม่ว่าจะเป็นด้านชื่อเสียงเงินทอง หรือเพื่อฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นจาก “การทำงาน” ด้วยเหตุนี้คนจำนวนมากจึงทุ่มเททำงานหนัก จนส่งผลเสียต่อสุขภาพ ทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน ต่างกันตรงที่นำไปใช้ทำอะไร บางคนให้ความสำคัญกับงานเป็นหลัก บางคนแบ่งเวลามาเพื่อดูแลครอบครัว หรือบางคนก็ใช้เวลาไล่ตามความฝัน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วคนเราสามารถให้ความสำคัญกับทุกอย่างได้ เพียงรู้จักบริหารเวลาให้เกิดความสมดุลในชีวิตด้วย Work-Life Balance หรือการใช้ชีวิตให้สมดุลกันทั้งด้านการทำงานและการใช้ชีวิต วารสารสรรพากรฉบับนี้มีเทคนิคง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คนทำ งานสามารถจัดการชีวิตตัวเองให้มี Work-Life Balance ในแบบของตัวเองได้มาฝากทุกท่านกันค่ะ

1.หาจุดที่พอดีให้ได้
การมี Work-Life Balance ที่ดีนั่นไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอน และไม่จำเป็นที่ทั้งสองด้านจะต้องเท่ากันเสมอไป ความสมดุลเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ทุกคนสามารถหาจุดที่พอดีของตัวเองได้ ซึงขึ้นอยู่กับแต่ละช่วงชีวิตความพอดีในวันนี้อาจจะไม่เท่ากับความพอดีของวันพรุ่งนี้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับลำดับความสำคัญของคุณเอง คุณต้องให้ความสำคัญกับสิ่งที่ตัวเองต้องการ ถามตัวเองว่าแนวทาง Work-Life Balance ที่กำลังทำนั่นโอเคหรือไม่ คุณมีความสุขที่จะทำมันไหม อย่าบอกตัวเองว่า “คนนั้นทำแบบนั้นได้ ฉันก็ต้องทำได้” และอย่าให้คนอื่นมาบอกว่าคุณควรจะทำ หรือไม่สามารถทำอะไร

2.ขีดเส้นแบ่งให้ชัดเจน
สิ่งที่มักจะเกิดขึ้นเป็นประจำ คือ การที่คุณกังวลกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับที่บ้านในขณะทำงาน หรือหมกมุ่นกับเรื่องงานขณะที่กำลังอยู่ที่บ้านคุณจะต้องแยกสิ่งที่ต้องทำที่ทำงานกับที่บ้านออกจากกันอย่างเด็ดขาด ตั้งใจกับการทำงานเมื่ออยู่ที่ทำงานและให้เวลากับตัวเองและครอบครัวอย่างเต็มที่เมื่ออยู่ที่บ้าน

3.ขอความช่วยเหลือให้เป็นและพูดปฏิเสธให้ได้
การบอกปฏิเสธในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการปฏิเสธคำขอร้องทุกอย่างตลอดเวลา แต่เป็นการปฏิเสธสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ หรือถ้าทำแล้วจะกระทบกับเรื่องอื่น ๆ ไม่ว่าจะที่บ้านหรือที่ทำงาน เช่น การปฏิเสธเรื่องงานที่นอกเหนือความรับผิดชอบมากเกินไป หรือปฏิเสธเมื่อมีคนมาชวนไปงานปาร์ตี้ อย่างไรก็ตามคุณก็ไม่ควรที่จะใช้การพูดที่แสดงถึงความก้าวร้าวหรือใช้คำพูดที่ไม่ดีในการปฏิเสธเช่นกัน รวมถึงการขอความช่วยเหลือจากคนอื่นในเรื่องที่คุณไม่สามารถทำได้จริง ๆ ก็จะช่วยให้คุณลดความกดดันจากงานได้ บางครั้งคุณต้องเลิกที่จะเก็บเอางานและปัญหาทุกอย่างไว้กับตัวเองการเปิดเผยมันออกไปโดยการพูดคุยกับใครสักคน เช่น หัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานอาจทำให้คุณแก้ปัญหาที่คิดไม่ตกมานานได้ง่ายขึ้น

4.ไม่จำเป็นต้องเพอร์เฟกต์ตลอดเวลา
เวลาที่จะต้องทำอะไรให้เสร็จสักอย่างหนึ่ง ลองถามตัวเองดูว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ต้องทำให้เสร็จ หรือต้องทำให้เสร็จแบบสมบูรณ์แบบที่สุด และสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จนั้นสามารถทำโดยใครก็ได้ เพียงแค่ให้เสร็จสมบูรณ์หรือจะต้องทำให้สำ เร็จโดยคุณเท่านั้น บางครั้งคุณก็ไม่จำเป็นจะต้องทำทุกอย่างให้ออกมาเพอร์เฟกต์ เพียงแค่ทำเต็มที่มากที่สุดเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

5.ทำสิ่งที่ตัวเองมีความสุข
ให้เวลากับตัวเองโดยการทำอะไรบางอย่างที่คุณชอบและสนุกหรือมีความสุขไปกับมัน โดยไม่ต้องให้เวลาหรือ To-do List ต่าง ๆ มาจำกัดขอบเขต เช่น การออกไปทานอาหารอ่านหนังสือ ดูทีวี หรือนอนกลิงก์อยู่บนโซฟา รวมไปถึงการปิดการติดต่อที่ไม่จำเป็นต่าง ๆ ด้วย

ร่างกายมนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักร ดังนั้นควรมีการหยุดพักบำรุงตัวเองทำงานอย่างพอเหมาะเพื่อป้องกันความเสื่อมของร่างกาย และรักษาให้มีคุณภาพเพื่อการทำงานในระยะยาวได้อย่างดีมีประสิทธิภาพ การสร้างสมดุลในการทำงานและชีวิตส่วนตัวแบบ Work-Life Balance นั้นเป็นสิ่งที่บุคลากรและองค์กรควรให้ความสำคัญทีเดียว เพราะสิงนี้จะช่วยให้ชีวิตสมดุล ่ประสบความสำเร็จทั้งหน้าที่การงานการดูแลครอบครัวสุขภาพร่างกายดีสุขภาพจิตใจยอดเยี่ยม เมื่อทุกอย่างดีแล้วก็จะทำให้ชีวิตมีความสุขทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ องค์กรก็มีโอกาสประสบความสำเร็จได้ยิ่งขึ้นและมีพนักงานที่มีคุณภาพช่วยสร้างศักยภาพให้กับองค์กรได้ในระยะยาวอีกด้วย


 1088
ผู้เข้าชม
สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์