ทำความรู้จักว่า Career Path คืออะไร
Career Path หรือ เส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพ คือ เส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพ ที่ไม่ว่าคุณจะกำลังประกอบอาชีพอะไรอยู่ ย่อมจะต้องมีเส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพของตัวเองอยู่แล้วทั้งนั้น ยกตัวอย่างเช่น พนักงานออฟฟิศที่เริ่มต้นทำงานจากตำแหน่งเล็ก ๆ เมื่อมีการเติบโต ได้ย้ายตำแหน่งไปเรื่อย ๆ จนอาจจะไปถึงจุดสูงสุดของสายอาชีพ
เส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพก็เปรียบเสมือนการปักธงกำหนดเป้าหมายในสายอาชีพที่คุณกำลังทำงานอยู่ ว่าอยากเติบโตไปอยู่ตำแหน่งไหน ถ้าในห้องสัมภาษณ์งาน คุณเคยถูกถามว่า “ในอีก 5 ปี คุณเห็นตัวเองเป็นอย่างไร ทำงานอะไร มีอนาคตแบบไหน” ก็แสดงว่าคุณกำลังถูกถามถึงเส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพของคุณอยู่นั่นแหละ
เส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพช่วยเราอย่างไร
เรารู้กันอยู่แล้วว่า การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน จะช่วยให้เราทำเป้าหมายนั้นสำเร็จ และอาจทำให้สำเร็จได้ในระยะเวลาที่เร็วขึ้นด้วย เหมือนกับการขับรถ ถ้ามองไม่เห็นทาง ก็ยากที่จะไปให้ถึงที่หมายได้ เส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพก็เป็นเหมือน Google Map ที่จะทำหน้าที่เป็นแผนที่นำทางให้เราบรรลุเป้าหมายในการทำงานของเราได้ และที่สำคัญ การมีเส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพจะทำให้เราต้องค้นหาความหมายของการทำงาน เมื่อเวลาที่เครียด หรือเหนื่อยล้าจากงานมาก ๆ พอเรากลับมาคิดถึงเป้าหมาย และความหมายของการทำงาน ว่าเราทำงานไปเพื่ออะไรแล้ว ก็จะช่วยเป็นกำลังใจชั้นดี ให้เรารู้ว่า เรากำลังทำอะไรอยู่ และฮึดสู้กับงานขึ้นมาอีกครั้ง
ในทางกลับกัน ถ้าทำงานแล้วรู้สึกเหนื่อยมาก พอกลับมาทบทวนแล้ว งานที่เราทำอยู่ไม่ตรงกับเป้าหมายของเราเลย เส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพก็จะทำหน้าที่เป็นเข็มทิศว่าเราอาจจะกำลังเดินผิดทางอยู่ ถ้ากลับตัวตั้งแต่เนิ่น ๆ เปลี่ยนงาน หรือย้ายบริษัท ก็จะเป็นทางออกที่ช่วยให้เรากลับเข้ามาในเส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพ ที่สามารถทำให้เราไปถึงเป้าหมายได้สำเร็จ โดยไม่ต้องเสียเวลา และกำลังใจในการทำงานนานเกินไป
เริ่มต้นวางแผน Career Path ของตัวเอง
เพราะการทำงานเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ทำให้เราต้องรู้ก่อนกว่า เป้าหมายในชีวิตเราคืออะไร เราอยากเป็นคนแบบไหน อยากมีชีวิตแบบไหน ถ้าฟังดูยากไป อาจจะลองเริ่มจากหัวข้อใหญ่ง่าย ๆ ก่อนก็ได้ เช่น เราให้ความสำคัญกับเรื่องไหนในชีวิตมากที่สุด การงาน ครอบครัว สุขภาพ ความรัก อยากมีเวลาอยู่กับครอบครัวมากหน่อย หรือมีความสุขกับงานมากจนสามารถให้เวลากับงานได้มากกว่าส่วนอื่นในชีวิต
สำหรับเด็กจบใหม่ที่เพิ่งจะเริ่มงาน คำถามนี้อาจจะยาก เพราะบางคนยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า ชีวิตต้องการอะไร อยากทำอะไรกันแน่ อาชีพทำอยู่ใช่หรือยังนะ หรือคนที่ทำงานมาสักพักแล้ว แต่ยังหาตัวเองไม่เจอ ก็อาจจะสับสนได้ แต่ความเป็นจริงแล้ว ชีวิตมีบริบทมากมายที่เราต้องคิดถึง และเอามาร่วมพิจารณาด้วย ดังนั้นเราสามารถลองตั้งเป้าหมายใหญ่แบบคร่าว ๆ ไปก่อนได้ อาจเริ่มจากตั้งเป้าหมายของ 5 ปี หรือ 10 ปีข้างหน้าว่าเราอยากมองเห็นตัวเองมีชีวิตแบบไหน ซึ่งถ้าจะมีการปรับเปลี่ยนระหว่างทางก็ไม่ใช่เรื่องแปลก จนถึงวันที่แน่ใจแล้วว่าเป้าหมายที่แท้จริงของเราคืออะไร ค่อยยึดเป้าหมายนั้นเป็นเป้าหมายหลักที่แท้จริงของชีวิต
พอเรารู้แล้วว่าเป้าหมายในชีวิตเราคืออะไร เราก็มาเริ่มตั้งเป้าหมายในการทำงานโดยที่ยึดเอาเป้าหมายใหญ่ในชีวิตเป็นตัวนำทาง เช่น อยากมีธุรกิจของตัวเอง หรือทำฟรีแลนซ์ เพราะชอบที่สามารถบริหารเวลาในชีวิต และกำหนดแบบแผนการทำงานได้เอง โดยที่ไม่ต้องคอยตอกบัตรเข้างาน หรือทำตามกฎระเบียบของบริษัท หรือชอบระบบระเบียบที่ถูกคิดไว้แล้ว และต้องการรายได้ที่แน่นอนในทุกเดือน เลยอยากเป็นพนักงานออฟฟิศ และไต่เต้าไปจนเป็นระดับผู้บริหาร เพราะรู้สึกปลอดภัยกว่า และยังสามารถลงลึกไปในรายละเอียดของการทำงานได้อีก เช่น สไตล์การทำงาน
ถ้ารู้ตัวแล้วว่าอยากเป็นพนักงานออฟฟิศ แต่ชอบที่จะเรียนรู้งานในทุกขั้นตอน และต้องการสังคมในออฟฟิศแบบเล็ก ๆ อบอุ่น คนไม่มาก ก็ต้องไปสมัครงานที่บริษัท Startup SME หรือขนาดเล็ก แต่ถ้าชอบการทำงานแบบรับผิดชอบเฉพาะตำแหน่ง มีความสุขกับการเป็น specialist ในสายงาน โดยที่ไม่สนใจงานส่วนอื่นเลย และยังชอบทำงานสเกลใหญ่ แนะนำให้ไปสมัครงานในบริษัทขนาดไหญ่ ที่มีการแบ่งงานอย่างชัดเจนตามตำแหน่ง และมีงานในระดับใหญ่รออยู่
ถ้าเราได้คำตอบแล้วว่าอยากทำงานในบริษัทนี่แหละ ไม่ได้อยากไปเริ่มธุรกิจของตัวเอง เราก็มาศึกษาแผนผังขององค์กรของเราดูว่า มีตำแหน่งอะไรบ้าง และตอนนี้เรากำลังอยู่ที่ตำแหน่งไหนในบริษัท ลองศึกษาดูว่าคนที่อยู่ในตำแหน่งใกล้ ๆ กับเราอย่าง พี่ senior ที่สอนงานเราอยู่ เขามีคุณสมบัติยังไง มีการทำงานแบบไหน มีทักษะอะไรที่เราสามารถไปเรียนรู้จากเขาได้ ลองมองไปถึงหัวหน้าและผู้บริหารระดับสูงเลยก็ได้ ว่าเขาทำงานอะไรอยู่ มีหน้าที่ความรับผิดชอบแบบไหน ทักษะหรือคุณสมบัติอะไรที่ทำให้เขาได้รับตำแหน่งนั้น เพื่อที่เราจะได้รู้ว่าจะต้องพัฒนาตรงไหนเพิ่ม และเราอยากจะเป็นแบบนั้นไหม
ถึงเราจะวางแผนเส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพของเรามาอย่างดีแล้ว ถ้าไม่มีหัวหน้าหรือองค์กรที่สนับสนุนเราด้วย ก็จะทำให้การก้าวหน้าในอาชีพการงานเป็นเรื่องยากกว่าที่ควรจะเป็น เรียกได้ว่าหัวหน้าและบริษัทเป็นอีกส่วนที่สำคัญมาก ในการที่จะทำให้เป้าหมายในการทำงานของเราประสบความสำเร็จ
ถ้าเราได้หัวหน้าที่ดี พร้อมที่จะสอนงานและสนับสนุนลูกน้องให้ได้พัฒนาความสามารถและเติบโตในอาชีพอย่างต่อเนื่อง ก็จะเป็นแรงผลักดันที่สำคัญที่จะทำให้เราบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้ ยิ่งถ้าเป็นหัวหน้าที่เก่ง ที่สามารถจะดึงเอาศักยภาพของเราออกมาใช้ทำงานได้อย่างเต็มที่ ก็จะทำให้เราสามารถค้นพบตัวเอง และได้เฉิดฉายในด้านการทำงานได้อย่างเต็มที่
นอกจากนี้นโยบายบริษัทเองมีส่วนช่วยสนับสนุนความสำเร็จในหน้าที่การงานของเราแล้ว หากบริษัทนั้นมีการส่งเสริมการพัฒนาความสามารถของพนักงานอย่างต่อเนื่อง ด้วยการจัดการอบรม เทรนนิง หรือมีเงินให้เราได้ไปเรียนทักษะใหม่ ๆ เพิ่มเติม ก็จะช่วยพัฒนาความสามารถของเราได้เป็นอย่างดี หรือถ้าหากเป็นองค์กรใหญ่ที่มีการหมุนเวียนให้พนักงานได้ไปเรียนรู้งานตามแผนกต่าง ๆ ก็จะเป็นอีกหนึ่งวิธีการที่จะสามารถทำให้เราได้ค้นพบศักยภาพที่ซ่อนอยู่ของตัวเองได้
เดี๋ยวนี้มีอาชีพใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย ในบริษัทหลาย ๆ แห่งก็มีการเพิ่มตำแหน่ง หรือแผนกที่ไม่เคยมีมาก่อน และหากสิ่งที่เราสนใจอยู่ดันไปตรงกับตำแหน่งใหม่ ๆ ที่ว่านั้นอยู่พอดี และเราก็มีความสามารถพอที่จะไปทำงานตรงนั้นด้วย นี่ก็เป็นโอกาสดีที่จะทำให้เราได้สร้างเส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพใหม่เป็นของตัวเอง แม้จะมีในแผนผังบริษัทมาก่อน ทำให้ไม่รู้ว่าจะต้องพัฒนาตัวเองตามแบบไหนบ้าง เราสามารถใช้โอกาสนี้กำหนดเป้าหมายในการทำงาน และพัฒนาความสามารถไปได้อย่างไม่มีขีดจำกัด สามารถลองผิดลองถูกได้เต็มที่ เพราะอย่างไรแล้วก็ไม่มีข้อเปรียบเทียบมากนัก ขอเพียงแต่ทำงานให้เต็มที่ สร้างผลงานที่น่าประทับใจออกมาได้ นี่ก็เรียกได้ว่าเป็นโอกาสทองที่จะเปลี่ยนเส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพของคุณไปเลยก็ได้
เมื่อเรามีเป้าหมายในการทำงานที่ชัดเจนแล้ว ระหว่างทำงาน ลองกลับมาเช็กตัวเองเป็นระยะ ว่าเรายังมีความสามารถและคุณสมบัติเพียงพอที่จะทำงานออกมาได้ดีอยู่หรือไม่ เรายังต้องพัฒนาตรงไหนเพิ่มเติมหรือเปล่า ไปจนถึงคำถามที่ว่า เรายังมีความสุขกับการทำงานดีอยู่ไหม งานที่เราทำตอบโจทย์ชีวิตตอนนี้ของเราอยู่รึเปล่า เรายังไหวกับความรับผิดชอบที่ได้รับตอนนี้อยู่ไหม และไม่ลืมที่จะมองไปข้างหน้าด้วยว่า หากตำแหน่งสูงขึ้นกว่านี้ ต้องรับผิดชอบมากขึ้นกว่านี้ เรายังจะไหวอยู่ไหม เราอยากทำตำแหน่งนั้นไหม รวมถึงงานนี้ยังเป็นงานที่เราต้องการทำและตอบโจทย์ชีวิตของเราอยู่ไหม เราได้เติบโตไปในทิศทางที่เราคิดไว้อยู่หรือเปล่า
เหล่านี้ล้วนแต่เป็นคำถามที่จะต้องคอยถามตัวเองอยู่ตลอด เพื่อใช้เป็นเครื่องเตือนสติให้เราพัฒนาตัวเอง เป็นองค์ประกอบเพื่อให้เราได้ปรับแผนเส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพให้สอดคล้องกับเป้าหมาย และเพื่อไม่ให้เราหลงทาง ไม่ว่าจะหลงไปกับความสำเร็จ หรือเงินทองที่กองอยู่ตรงหน้า แต่ไม่ได้ตอบโจทย์ด้านความสุขของชีวิตที่วางไว้ หรือได้ทำงานตามที่หวังไว้ แต่ไม่ได้ตอบโจทย์ความฝันในชีวิต หรือความฝันที่อยากทำต้องใช้ความพยายามมากจนเหนื่อย แต่เรื่องที่เราทำได้ดีอาจจะไม่ใช่ความฝันสูงสุดก็ได้ แม้จะไม่ได้ทำตามฝันสูงสุด แต่ก็สามารถประสบความสำเร็จได้ โดยที่เหนื่อยน้อยกว่า เพราะบางครั้งสิ่งที่ “ควรทำ” ก็ไม่ได้เป็นเรื่องเดียวกันกับสิ่งที่เรา “อยากทำ” ยิ่งเราโตขึ้นเรื่อย ๆ มีประสบการณ์ทำงานมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะสามารถทำให้เราเห็นภาพตัวเองชัดขึ้น รู้ว่าจุดไหนที่จะเป็นจุดสมดุลของชีวิตทั้งในแง่ความสุขและการทำงานที่สอดคล้องกันได้อย่างกลมกลืน
เส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลมาก ๆ ไม่มีสูตรตายตัวของความสำเร็จ สิ่งที่เราทุกคนทำได้คือ วางแผนเป้าหมายเป็นระยะ หมั่นทำความเข้าใจและทบทวนตัวเองอยู่เสมอ และที่สำคัญคือ ไม่ลืมทำงานอย่างเต็มที่ และไม่หยุดเรียนรู้ ทั้งการเรียนรู้ทักษะในการทำงาน และทักษะในการใช้ชีวิตให้มีความสุข เชื่อได้ว่าคุณก็จะสามารถสร้างเส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพที่ทำให้คุณประสบความสำเร็จในโจทย์ชีวิตของคุณได้
ที่มา : Link