
ใครบ้างเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
การเสียภาษีเงินได้เป็นการเสียภาษีแบบขั้นบันได ซึ่งหมายความว่าผู้ที่มีรายได้มากขึ้นจะต้องจ่ายภาษีในอัตราที่สูงขึ้นตามระดับรายได้ที่กำหนดไว้ในกฎหมาย โดยแบ่งเป็นช่วงรายได้ต่างๆ ที่มีอัตราภาษีแตกต่างกันไป มาดูกันว่าใครบ้างที่ต้องเสียภาษีและต้องยื่นภาษีเงินได้
- คนที่มีรายได้รวมต่ำกว่า 150,000 บาทต่อปีจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี (ภาษี 0%)
- คนที่มีรายได้รวมตั้งแต่ 150,001 - 300,000 บาทต่อปี เสียภาษี 5%
- คนที่มีรายได้รวมตั้งแต่ 300,001 - 500,000 บาทต่อปี เสียภาษี 10%
- คนที่มีรายได้รวมตั้งแต่ 500,001 - 750,000 บาทต่อปี เสียภาษี 15%
- คนที่มีรายได้รวมตั้งแต่ 750,001 - 1,000,000 บาทต่อปี เสียภาษี 20%
- คนที่มีรายได้รวมตั้งแต่ 1,000,001 - 2,000,000 บาทต่อปี เสียภาษี 25%
- คนที่มีรายได้รวมตั้งแต่ 2,000,001 - 5,000,000 บาทต่อปี เสียภาษี 30%
- คนที่มีรายได้รวมมากกว่า 5,000,000 บาทต่อปี เสียภาษี 35%
ประเภทสิทธิลดหย่อนภาษี
สิทธิลดหย่อนภาษีมีหลายประเภทที่กฎหมายกำหนด เพื่อช่วยให้ผู้เสียภาษีลดภาระการจ่ายภาษีได้ โดยการหักค่าใช้จ่ายบางอย่างออกจากรายได้ ซึ่งจะช่วยลดจำนวนภาษีที่ต้องชำระ มาดูกันว่าในประเภทของสิทธิลดหย่อนภาษีที่สำคัญมีอะไรบ้าง
กลุ่มบุคคลธรรมดา
สิทธิลดหย่อนภาษีสำหรับกลุ่มบุคคลธรรมดามีหลายประเภทที่ใช้ได้ โดยแต่ละประเภทจะมีข้อกำหนดและเงื่อนไขที่แตกต่างกันไป เช่น
- ค่าใช้จ่ายส่วนตัว หรือผู้มีเงินได้ 60,000 บาท
- ค่าลดหย่อนสำหรับคู่สมรส กรณีที่แต่งงานแล้วและคู่สมรสไม่มีรายได้ จะลดหย่อนภาษีได้จำนวน 60,000 บาท
- ค่าลดหย่อนสำหรับบุตร หากมีบุตรอายุไม่เกิน 20 ปี หรือไม่เกิน 25 ปี (ยังศึกษาอยู่) สามารถลดหย่อนภาษีได้ 30,000 บาทต่อคน และบุตรคนที่ 2 เป็นต้นไป (เกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561) ลดหย่อนได้ 60,000 บาทต่อคน
- ค่าใช้จ่ายสำหรับฝากครรภ์และคลอดบุตร โดยคำนวณค่าใช้จ่ายตามจริง ไม่เกิน 60,000 บาท
- ค่าเลี้ยงดูบิดามารดาของผู้มีเงินได้และคู่สมรส หากมีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป จะได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีคนละ 30,000 บาท
- ค่าเลี้ยงดูคนพิการหรือทุพพลภาพ กรณีนี้จะได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีคนละ 60,000 บาท
กลุ่มกิจกรรมการเงิน
กลุ่มกิจกรรมการเงินมีหลายประเภทที่สามารถใช้ได้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการการเงินส่วนบุคคล หรือแม้แต่การใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีจากกิจกรรมการเงินต่างๆ ดังนี้
- ค่าเบี้ยประกันสุขภาพ ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 25,000 บาท
- ค่าเบี้ยประกันสุขภาพของบิดามารดา หักลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง สูงสุด 15,000 บาทต่อคน
- ค่าเบี้ยประกันชีวิตและประกันสะสมทรัพย์ ลดหย่อนได้สูงสุด 100,000 บาท แต่เมื่อนำเบี้ยประกันชีวิต ประกันสะสมทรัพย์ และประกันสุขภาพมารวมกันแล้ว ต้องไม่เกิน 100,000 บาท
- ค่าเบี้ยประกันสังคม ลดหย่อนได้สูงสุด 9,000 บาท
- กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (RMF) ลดหย่อนได้สูงสุด 500,000 บาท แต่ต้องไม่เกิน 30% ของเงินได้
- กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ลดหย่อนได้สูงสุด 200,000 บาท แต่ต้องไม่เกิน 30% ของเงินได้
- กองทุนไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) ลดหย่อนได้สูงสุด 300,000 บาท แต่ต้องไม่เกิน 30% ของเงินได้
- ค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ ลดหย่อนได้สูงสุด 200,000 บาท แต่ต้องไม่เกิน 15% ของเงินได้
- กองทุนบำเหน็จข้าราชการ ลดหย่อนได้สูงสุด 500,000 บาท แต่ต้องไม่เกิน 30% ของเงินได้
- เงินสะสมกองทุนการออมแห่งชาติ ลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 500,000 บาท
- ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อการมีที่อยู่อาศัย ลดหย่อนได้สูงสุด 100,000 บาท
- ค่าสร้างบ้านใหม่ในปี 2567-2568 ลดหย่อนภาษีได้ 10,000 บาท ต่อจำนวนที่จ่ายจริงทุก 1,000,000 บาท แต่รวมทั้งหมดแล้วไม่เกิน 100,000 บาท
- ค่าซ่อมแซมบ้านน้ำท่วม ปี 2567 คำนวณตามจริง แต่ต้องไม่เกิน 100,000 บาท
- ค่าซ่อมแซมรถน้ำท่วม ปี 2567 จ่ายตามจริง แต่ต้องไม่เกิน 30,000 บาท
กลุ่มเงินบริจาค
การบริจาคไม่เพียงช่วยสนับสนุนสังคมแต่ยังนำมาหักลดหย่อนภาษีได้ตามกฎหมาย โดยกลุ่มเงินบริจาคมีหลายประเภทที่ใช้เพื่อลดภาระภาษีและสนับสนุนองค์กรหรือกิจกรรมที่มีความสำคัญ เช่น
- เงินบริจาคทั่วไป ลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าลดหย่อนแล้ว
- เงินบริจาคสนับสนุนการศึกษา หรือการกีฬา การพัฒนาสังคม สถานพยาบาลของรัฐ และประโยชน์สาธารณะ ลดหย่อนได้ 2 เท่าของเงินบริจาคจริง สูงสุดไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าลดหย่อนแล้ว
- เงินสนับสนุนพรรคการเมือง ลดหย่อนได้สูงสุด 10,000 บาท
กลุ่มกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ
กลุ่มกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐเป็นส่วนสำคัญที่เปลี่ยนแปลงไปตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจ เช่น
- ค่าลดหย่อนเที่ยวเมืองรอง 2567 ลดหย่อนได้สูงสุด 15,000 บาท
- โครงการช้อปดีมีคืน ลดหย่อนได้สูงสุด 50,000 บาท
- ดอกเบี้ยกู้ยืมเพื่อซื้อบ้านหรือที่อยู่อาศัย ลดหย่อนได้สูงสุด 100,000 บาท
กลุ่ม Easy E-Receipt
กลุ่ม Easy E-Receipt เป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศในปี 2568 ซึ่งแบ่งเป็น 3 ส่วน โดยซื้อสินค้าหรือบริการเพื่อลดหย่อนภาษีได้ 20,000 บาท 30,000 บาท และรายการที่ไม่เข้าร่วม โดยจะมีรายการอะไรบ้าง ดูได้ตามรายละเอียดดังนี้
ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 20,000 บาท
- ค่าซื้อสินค้าจากโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP)
- ค่าซื้อสินค้าหรือบริการจากวิสาหกิจชุมชนที่จดทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร
- ค่าซื้อสินค้าหรือบริการจากวิสาหกิจเพื่อสังคมที่จดทะเบียนกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม
ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 30,000 บาท
- ซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ประกอบการที่จดทะเบียน VAT โดยต้องมีใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax invoice) แบบเต็มรูปเป็นหลักฐาน
- ซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ประกอบการที่ไม่ได้จดทะเบียน VAT โดยต้องมีใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) เป็นหลักฐาน
สินค้าหรือบริการที่ไม่เข้าร่วมโครงการ
- สุรา เบียร์ และไวน์
- ยาสูบ
- น้ำมัน ก๊าซ และค่าบริการอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานพาหนะ
- รถยนต์และรถจักรยานยนต์ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ (รวมถึงรถจักรยานที่ติดเครื่องยนต์) และค่าซื้อเรือ
- สาธารณูปโภค เช่น ประปา ไฟฟ้า บริการสัญญาณโทรศัพท์ และค่าบริการสัญญาณอินเทอร์เน็ต
- บริการที่มีข้อตกลงการให้บริการที่สามารถใช้บริการนอกเหนือจากระยะเวลาของมาตรการ
- เบี้ยประกันวินาศภัย
- บริการจัดนำเที่ยวที่จ่ายให้ผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยว และค่าที่พักโรงแรม โฮมสเตย์ไทย หรือสถานที่พักที่ไม่เป็นโรงแรม
ตัวอย่างการคิดภาษีหลังลดหย่อน
คำนวณภาษีหลังลดหย่อนได้โดยการใช้ตัวอย่างการลดหย่อนภาษี ดังนี้
ตัวอย่าง นาย B มีเงินเดือน 25,000 บาท และมีสิทธิในการลดหย่อนภาษีจากหลายประเภท คือ
- การลดหย่อนสำหรับการมีบุตร 30,000 บาท
- การลดหย่อนประกันชีวิต 15,000 บาท
- การบริจาคเพื่อการกุศล 10,000 บาท
คิดจากรายได้ทั้งปี
นาย B มีรายได้ตลอดทั้งปี คือ เงินเดือน เดือนละ 25,000 บาท โบนัส 100,000 บาท และงานฟรีแลนซ์ 250,000 บาท จะคำนวณจำนวนภาษีและค่าลดหย่อนออกมาได้เป็น
- (25,000 x 12) + 100,000 + 200,000 = 600,000 บาท
คิดจากค่าใช้จ่ายแบบเหมารวม
ค่าใช้จ่ายแบบเหมารวมคือหัก 50% ของรายได้จากงานประจำของนาย B แต่สามารถหักได้ไม่เกิน 100,000 บาท
- (25,000 x 12) x 50% = 150,000 บาท (ได้ค่าใช้จ่ายเหมารวม 100,000 บาท)
คิดจากค่าลดหย่อน
นาย B มีค่าลดหย่อน คือค่าลดหย่อนสำหรับการมีบุตร 30,000 บาท ค่าลดหย่อนประกันชีวิต 15,000 บาท และเงินบริจาคเพื่อการกุศล 10,000 บาท
- 30,000 + 15,000 + 10,000 = 55,000 บาท
เมื่อนำตัวอย่างของนาย B มาคิดรายได้สุทธิจะเป็น 600,000 - 100,000 - 55,000 = 445,000 บาท
สรุป นาย B ต้องเสียภาษี 10% โดยคิดจากรายได้สุทธิ 445,000 * 10% = 44,500 บาท หากนาย B วางแผนการคำนวณภาษีโดยคำนึงถึงการลดหย่อนภาษีตั้งแต่แรก ก็อาจช่วยให้เสียภาษีในอัตราที่น้อยลงได้ หรือหากมีคู่สมรส ก็สามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนเพิ่มเติมจากคู่สมรส
เอกสารที่ต้องมีในการลดหย่อนภาษี
เอกสารที่ใช้เป็นหลักฐานในการยืนยันการใช้จ่ายหรือการบริจาคซึ่งช่วยให้ลดหย่อนภาษีได้ตามที่กำหนด โดยเอกสารที่จำเป็นมีดังนี้
- หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย หรือ 50 ทวิ
- ใบกำกับภาษี (Tax Invoice)
- หนังสือรับรองการจ่ายเบี้ยประกันชีวิตและประกันสุขภาพ
- หนังสือรับรองการซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน RMF
- หนังสือรับรองดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัย
สถานที่ในการยื่นภาษี
การยื่นภาษีสำหรับบุคคลธรรมดาควรทำในช่วงระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 31 มีนาคม ของทุกปี สำหรับปีภาษีที่ผ่านมา (ปีที่มีรายได้) โดยจะต้องยื่นภาษีให้เสร็จภายในวันที่ 31 มีนาคม เพื่อหลีกเลี่ยงค่าปรับและดอกเบี้ย หากยื่นภาษีออนไลน์ (e-Filing) จะมีเวลาเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในบางกรณี โดยสามารถยื่นภาษีได้ตามช่องทางที่สะดวกที่สุด คือ